MFCโกลบอล โฟกัสตอบโจทย์กระจายลงทุน หุ้นเติบโตคุณภาพดีทั่วโลก
• การกระจายการลงทุนในหุ้นทั่วโลก นอกเหนือจากหุ้นสหรัฐฯ เพียงภูมิภาคเดียว เป็นอีกกลยุทธ์หนึ่งในการลงทุน
• กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี โกลบอล โฟกัส หรือ MGF : ลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดีทั่วโลก (Quality Growth Stock) เป็น Feeder Fund ลงทุนผ่านกองทุนหลัก Threadneedle Global Focus Fund
• การลงทุนเน้นหุ้นเติบโตคุณภาพดี ที่มาจาก 3 ส่วน Return on capital, Growth potential และ Sustainability
• มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงกว่าตลาด เนื่องจากหุ้นเติบโตคุณภาพดี มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูง มีกำไรและรายได้เติบโตสม่ำเสมอ
การกระจายการลงทุนที่มีประสิทธิภาพภาพจากการคัดสรรหุ้นคุณภาพที่มีการเติบโตดีถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับโลกการลงทุนที่มีความผันผวนเพิ่มขึ้นในปัจจุบัน
กองทุนเปิด เอ็มเอฟซี โกลบอล โฟกัส หรือ MGF เป็นอีกกองทุนหนึ่งที่น่าสนใจ โดยเน้นการลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดีทั่วโลก (Quality Growth Stock) เป็นหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage) สามารถให้ผลตอบแทนในสภาวะตลาดที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเกิดเศรษฐกิจถดถอย หรือ ไม่เกิด หุ้นเหล่านี้ก็มีรายได้และกำไรเติบโตได้ ตัวอย่างหุ้นที่ลงทุน เช่น
1.) Microsoft , ไมโครซอฟออฟฟิศ , ลงทุนใน Chat GPT
2.) Mastercard ที่ให้บริการเครือข่ายชำระเงินผ่านบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีทั้งบัตรเครดิต บัตรเดบิต และบัตรเติมเงิน โดยนำเทคโนโลยีการชำระเงินมาเชื่อมโยงธนาคารหรือสถาบันการเงินเข้ากับร้านค้าเพื่อให้ใช้ระบบดิจิทัลในการชำระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทนการใช้เงินสด
• กองทุนลงทุนในสหรัฐฯ ประมาณ 60% ที่เหลือก็กระจายไปภูมิภาคอื่น เช่น ญี่ปุ่น อินเดีย ยุโรป
• พอร์ตการลงทุน มีหุ้น 30-50 บริษัท (High Conviction) และมีระยะเวลาการถือครองหุ้นเฉลี่ยประมาณ 3-5 ปี
• กองทุนได้รับ Morning Star 5 ดาว และได้รับ Morningstar Sustainability Rating ซึ่งเป็นเรื่องของ ESG ระดับ 5 ลูกโลก เหมาะกับการใช้เป็น Core Port
• ดัชนี MSCI ACWI Quality ที่เป็นตัวแทน หุ้นเติบโตจากทั่วโลก ให้ผลตอบแทนเหนือกว่า ดัชนีหุ้นโลก MSCI ACWI ในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอย
มุมมองตลาดหุ้นสหรัฐฯ ใช้เป็นตัวแทน ของตลาดหุ้นทั่วโลก
ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เดือน ก.ย. มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% พร้อมส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงนานกว่าที่ตลาดคาด สะท้อนจาก Fed Dot Plot มองอัตราดอกเบี้ยในปีนี้(Terminal rate) ที่ 5.6% แต่ปรับเพิ่มคาดการณ์ปี 2567 จากเดิม 4.6% เป็น 5.1% นอกจากนี้คณะกรรมการ Fed ยังมองความเป็นไปได้ที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในปีนี้ และลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2567
หลังผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (FOMC) เรามองว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงสะท้อน (priced in) ทิศทางอัตราดอกเบี้ยที่จะอยู่ในระดับสูงนานกว่าคาดไปค่อนข้างมากแล้ว สอดคล้องกับการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ระดับ 4.80%
เรามองดัชนี S&P500 ที่บริเวณ 4,200-4,300 จุด เป็นแนวรับสำหรับทยอยลงทุนในหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth Stock) ซึ่งปัจจุบัน Valuation ของดัชนี S&P500 อยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยค่า Forward P/E อยู่ที่ 18 เท่าที่บริเวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปี ซึ่งปรับลดลงมาจากระดับ 20 เท่า ในเดือน ก.ค.
เรามองว่าผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีหลังมีโอกาสฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 สอดคล้องกับปัจจัยตามฤดูกาล (Seasonality) ที่ในช่วงเดือน ส.ค. ถึง กลางเดือน ต.ค. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะปรับตัวลดลงก่อนที่จะปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงเดือน พ.ย. และ ธ.ค.
อย่างไรก็ตาม เรามอง Upside ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจเริ่มจำกัดจาก Bond Yield ที่อยู่ในระดับสูง และความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อระลอกสอง (Inflation’s Second Wave) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นมาอยู่ในระดับสูง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีโอกาสชะลอตัวในระยะข้างหน้า สะท้อนจากปริมาณเงินออมสะสมในช่วงโควิดของชาวอเมริกันที่กำลังปรับตัวลดลงต่ำกว่าระดับก่อนเกิดวิกฤตโควิด (pre-covid) โดยคิดเป็น 80% ของประชากรทั้งหมด นอกจากนี้ การกลับมาจ่ายเงินกู้ยืมเพื่อการศึกษา (Student Loan) ของชาวอเมริกัน 43 ล้านคน หลังจากที่เคยหยุดพักชำระหนี้ไปในช่วงโควิด มูลค่าประมาณ 1.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จะส่งผลกระทบต่อภาคการบริโภค และทำให้ GDP ของสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอลงในไตรมาส 4
ปัจจุบันเราให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ระยะสั้น (0-6เดือน) เป็น Slightly Overweight ขณะที่ภาพระยะกลางถึงยาว (6-12 เดือน) ยังคงน้ำหนัก Neutral แต่อาจมีการพิจารณาปรับลดน้ำหนักการลงทุนในระยะสั้นลง หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น