MILLเพิ่มทุนขายพีพี462ล้านหุ้นเตรียมเงินทุนขยายกิจการสู่ธุรกิจ ESG

@กำหนดชำระเงินค่าหุ้นภายในวันที่ 16 – 31 สิงหาคม 2565

มิลล์คอน สตีล เพิ่มทุนขาย PP จำนวน 462  ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 0.79 บาท มูลค่ารวมกว่า 364 ล้านบาท   เตรียมเงินทุนรองรับการขยายกิจการสู่ธุรกิจ ESG และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส2/2565 มีกำไรสุทธิ 53 ล้านบาท ส่วนภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ยังได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียยูเครน การบริโภคเหล็กสำเร็จรูปลดลงกว่า 8.5%

นายประวิทย์ หอรุ่งเรือง  กรรมการผู้จัดการใหญ่  บริษัท มิลล์คอน สตีล จำกัด (มหาชน) หรือ MILL เปิดเผยว่า  คณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้จัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด(Private Placement) จำนวน  462 ล้านหุ้น  โดยกำหนดราคาเสนอขายหุ้นละ 0.79 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 364.98 ล้านบาท  ซึ่งราคาที่เสนอขายเป็นราคาไม่ต่ำกว่าราคา 90% ของราคาตลาดถัวเฉลี่ยถ่วงน้ำหนักต่อหุ้นของหุ้นสามัญของบริษัท  โดยมติดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากมติที่ประชุมสามัญประจำปีผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2565 เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2565 ทั้งนี้บริษัทได้กำหนดระยะเวลาการชำระเงินภายในวันที่ 16 – 31 สิงหาคม 2565

 

สำหรับรายชื่อนักลงทุนที่ได้รับการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง ประกอบด้วย 1. นายธัญชาติ กิจพิพิธ2.นายสุระ คณิตทวีกุล 3.นายแพทย์พงศ์ศักดิ์ ธรรมธัชอารี 4.นายทวีศักดิ์ ตั้งเด่นไชย และ 5.นายณรงค์ชัย สิมะโรจน์

 

นายประวิทย์กล่าวต่อว่า  การเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัดครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์หลัก นำเงินเพิ่มทุน ไปลงทุนขยายกิจการที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคมและการกำกับดูแลหรือESG ซึ่งก็สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของกลุ่ม MILL ที่ยึดแนวทางการดำเนินธุรกิจแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนหรือ Circular Economy  ทำธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อน นอกจากนี้ก็ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

 

การเพิ่มทุนขาย PP นอกจากจะทำให้ฐานะการเงินของกลุ่ม MILL มีความแข็งแกร่งแล้ว ยังช่วยส่งเสริมศักยภาพการลงทุน ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจสูงขึ้น และนักลงทุนกลุ่มที่ได้รับการจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน PP เป็นนักลงทุนทั่วไป ที่ต้องการลงทุนในหุ้นที่ทำธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม สังคมและการกำกับดูแลหรือธรรมาภิบาล(ESG) ”นายประวิทย์กล่าว

 

 สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2 ของปี 2565  บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 53 ล้านบาท ลดลง 12 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน  เนื่องจากในไตรมาส2 ปี 2565  บริษัทมีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นจาก 2 ส่วนคือ การขาดทุนจากการวัดมูลค่ายุติธรรมตามมูลค่าตลาดของบริษัทร่วมทุนจำนวน 47 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการหยุดผลิตจำนวน  22 ล้านบาท  ซึ่งหากไม่นับรวมค่าใช้จ่ายพิเศษดังกล่าวบริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 122 ล้านบาท

 

ทั้งนี้บริษัทมีรายได้จากการขายและบริการในไตรมาส2 ปี 2565 อยู่ที่ 4,822 ล้านบาท ลดลง 4.2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากปริมาณการขายโดยรวมที่ลดลง ขณะที่ต้นทุนขายและบริการอยู่ที่ 4,571 ล้านบาทลดลง4.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามปริมาณการขายที่ลดลง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 250 ล้านบาทใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา 

นายประวิทย์ ยังได้กล่าวถึงภาพรวมอุตสาหกรรมเหล็กในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 ว่า  แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน หลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย แต่อุตสาหกรรมเหล็กในประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ตึงเครียดมากขึ้น ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่สูง ส่งผลให้อุปสงค์ของภาคอุตสาหกรรมต่อเนื่องชะลอตัวลง รวมถึงการผลิตและบริโภคของผลิตภัณฑ์เหล็ก 

จากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย ในช่วงไตรมาสที่2/2565 พบว่า ประเทศไทยมีปริมาณการบริโภคเหล็กสำเร็จรูปรวมทั้งสิ้น 4.74 ล้านตัน ลดลง 8.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยแบ่งเป็นการบริโภคเหล็กทรงยาวอยู่ที่ 1.75 ล้านตัน เพิ่มขึ้น0.8 % จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และการบริโภคเหล็กทรงแบนอยู่ที่2.99 ล้านตัน ลดลง 13.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อนหน้า 

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *