SINGER ประกาศผลงาน Q3/65 กำไรอยู่ที่261 ล้านบาท เติบโต 58% รายได้รวมอยู่ที่ 1,336ล้านบาท โต 46% ดันงวด 9 เดือน กำไรอยู่ที่ 742ล้านบาท พุ่งขึ้น 52% จากการเดินหน้าขยายตลาดเชิงรุก สอดรับไปกับจำนวนทีมขาย และเครือข่ายสาขาย่อยที่มีการเติบโตตามเป้าหมาย
โดยมีพอร์ตสินเชื่อรวมอยู่ที่ 15,102 ล้านบาท คาดสิ้นปีทะลุเป้าที่วางไว้ 15,500 ล้านบาท สำหรับความคืบหน้า “เอสจี แคปปิตอล (SGC)” บริษัทลูกเดินหน้าเข้าตลาด SET ปีนี้ โดยSINGER ยังคงถือหุ้นใหญ่สัดส่วน 74.92% หนุนต้นทุนทางการเงินลดลง พร้อมเดินหน้าลุยธุรกิจ ให้เป็นอีก New S-Curve ใหม่ของ SINGER โตไม่มีหยุด
นายกิตติพงศ์ กนกวิไลรัตน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER กล่าวว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานงวดประจำไตรมาส 3/2565 (กรกฎาคม – กันยายน 2565) มีกำไรสุทธิอยู่ที่261 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% รายได้รวมอยู่ที่ 1,336ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าเชิงพาณิชย์ ได้แก่ สินค้ากลุ่มตู้แช่ และตู้เติมน้ำมันหยอดเหรียญ สะท้อนการมุ่งเน้นการบริหารจัดการพอร์ตสินค้า (Product Mix) ให้ดีต่อเนื่อง รวมถึง รายได้จากสินเชื่อที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน (C4C) ภายใต้แบรนด์รถทำเงิน โดย บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่สามารถขยายพอร์ตให้เติบโตในระดับที่ดีต่อเนื่อง
ด้านผลประกอบการงวดประจำ 9 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม – กันยายน 2565) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 742 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% รายได้รวมอยู่ที่ 3,973 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 46% อัตรากำไรสุทธิ ที่ 32%สำหรับภาพรวมหนี้ด้อยคุณภาพ (NPL) อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องที่ 3.7%
โดยมีพอร์ตสินเชื่อรวม ณ สิ้นไตรมาส 3/2565อยู่ที่ 15,102 ล้านบาท เติบโตขึ้น 38% จากสิ้นปีก่อน แบ่งเป็น สัดส่วนพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) 57% และพอร์ตสินเชื่อเช่าซื้อ (Hire purchase) 40% คาดทะลุเป้าหมายที่วางไว้ 15,500 ล้านบาท ในปีนี้
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/2565 เดินหน้าขยายธุรกิจ ชูจุดแข็ง SINGER เข้าถึงลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศ ผ่านเครือข่ายสาขาย่อยของซิงเกอร์แฟรนไชส์ที่มีการเติบโต อยู่ที่กว่า 6,120 แห่ง จึงทำให้ SINGER สามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ และขยายฐานลูกค้า ลงลึกถึงระดับตำบลได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง การขยายช่องทางการจำหน่ายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโต พร้อมด้วยการจับมือพันธมิตรที่แข็งแกร่ง ได้แก่ Ecosystem ของ Jaymart Group และ BTS Group รวมทั้ง GUNKUL, BRR และพันธมิตรรายใหม่ๆ เพื่อขยายผลิตภัณฑ์สินเชื่อ และธุรกิจประกันที่กำลังสร้างฐานการเติบโตที่น่าสนใจ
นายกิตติพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนการผลักดัน บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปลดล็อกข้อจำกัดในการขยายธุรกิจ เข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีศักยภาพ อีกทั้ง ยังเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทแม่อีกด้วย เนื่องจากก่อนหน้านี้ SGC ขยายพอร์ตสินเชื่อจากแหล่งเงินทุนของ SINGER เป็นหลัก แต่วันนี้ SGC แข็งแรง และพร้อมสยายปีกโตในตลาดทุน
โดย SGC อยู่ระหว่างเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 820 ล้านหุ้น ประกอบด้วยการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 574 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นประมาณ 70% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมของ SINGER ที่มีสิทธิได้รับการจัดสรรตามสัดส่วนการถือหุ้น โดยให้ Pre-emptive Right ในอัตราส่วน 1.4326 หุ้นสามัญของบริษัทต่อ 1 หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SGC ในราคาเสนอขายเดียวกับราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SGC ให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)
ทั้งนี้ SINGER ซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้น SGC ก่อน IPO 100% และภายหลัง IPO จะมีสัดส่วนการถือหุ้น 74.92%