นายณัฎฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ตลาดบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังคงมีการขยายตัวของอุปทานเพิ่มขึ้น แม้ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศยังคงอยู่ในสภาวะการฟื้นตัว แต่ตลาดบ้านกลุ่มนี้ยังคงมีทิศทางเติบโตสวนกระแสอย่างมีนัยยะสำคัญ สะท้อนจากความต้องการของผู้ซื้อบ้านในกลุ่มนี้ที่มีความต้องการซื้อบ้านในโครงการ Pre–sale จนหลายโครงการสร้างเสร็จไม่ทันขาย
อันเนื่องมาจากกลุ่มผู้ซื้อบ้านในระดับนี้ยังคงมีรายได้ที่มั่นคงและอยู่ในช่วงที่ต้องการเปลี่ยนสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยใหม่หรือซื้อเป็นบ้านหลังที่ 2 และ 3 ส่งผลให้ความต้องการในบ้านกลุ่มนี้มีค่อนข้างสูง โดยย่านที่บ้านกลุ่มนี้เติบโตได้ดีในช่วงเวลานี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในส่วนต่อขยายของกรุงเทพฯ (โซนกรุงเทพฝั่งตะวันออก, โซนกรุงเทพฝั่งตะวันตก, โซนกรุงเทพฝั่งเหนือ) ซึ่งยังคงมีที่ดินผืนใหญ่ในการพัฒนาและการคมนาคมที่เอื้ออำนวยให้การเดินทางเข้ามายังศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างสะดวก
ใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน
จำนวนใบอนุญาตบ้านในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับการอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน (ทั้งโครงการ) พบว่าการอนุญาตจัดสรรที่ดินสำหรับกลุ่มบ้านที่มีระดับราคาขาย 10 ล้านบาทขึ้นไปตั้งแต่ปี 2560 ถึง ครึ่งปีแรก 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 11,032 หน่วย โดยในครึ่งปีแรก 2565 นี้พบว่ามีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในกลุ่มนี้ อยู่ที่ 945 หน่วย
อุปทาน
อุปทานสะสมของที่อยู่อาศัยแนวราบระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป มีอุปทานสะสมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 ถึงปัจจุบันอยู่ที่ 20,794หน่วย โดยปีอุปทานใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในครึ่งปีแรกมีจำนวน 943 หน่วย โดยอุปทานส่วนใหญ่ 3 อันดับ อยู่ในระดับราคา10 – 20 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 47 รองลงมาได้แก่ระดับราคา 21 – 30 ล้านบาท และ ระดับราคา มากกว่า 50 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนร้อยละ 27 และ 10 ตามลำดับ
อุปสงค์
ณ ครึ่งปีแรก 2565 พบว่าบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป มีหน่วยขายสะสมทั้งสิ้น 17,283 หน่วย จากอุปทานทั้งหมด 20,794 หน่วย คิดเป็นอัตราการขายที่ร้อยละ 83 อัตราการขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากสิ้นปี 2564 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้าที่ร้อยละ 69
โดยในครึ่งปีแรกพบว่ามีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีทั้งสิ้น 1,944 หน่วย โดยหน่วยขายได้ดังกล่าวสะท้อนให้ให้เห็นถึงความต้องการบ้านในระดับนี้ที่มีการเติบโตได้ดีต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 และเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ โดยใน ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ซึ่งมีหน่วยขายอยู่ที่ 1,813 หน่วย โดยหน่วยขายได้ซึ่งหากเทียบกับหน่วยขายได้ในครึ่งปีนี้มีจำนวนที่ใกล้เคียงและคาดว่าในช่วงสิ้นปีจะมีหน่วยขายสูงที่สุดเมื่อเทียบกับทุกปีที่ผ่านผ่านมา
โดยบ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10-20 ล้านบาท มีอุปสงค์สูงสุดเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 9,813 หน่วย รองลงมาคือบ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 21 – 30 ล้านบาท และ 31 – 40 ล้านบาท มีอุปสงค์อยู่ที่ 3,098 หน่วย และ 2,278 หน่วยตามลำดับ ในส่วนของอัตราการขายที่สูงสุด คือ บ้านระดับราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท เนื่องจากอุปทานที่มีอยู่จำกัด ทำให้อัตราการขายสูงที่สุด ซึ่งมีอัตราการขายอยู่ในอัตราร้อยละ 91 รองลงมาได้แก่ บ้านระดับราคาระหว่างช่วง 41-50 ล้านบาท และ 51 – 60 ล้านบาท อัตราการขายที่เท่ากันอยู่ในอัตราร้อยละ 90 ส่วนบ้านระดับราคา 61-70 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่มีอุปสงค์ต่ำที่สุด
โดยระดับบ้านที่มีความต้องการสูงที่สุดคือบ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10 -20 ล้านบาท ยังเป็นกลุ่มที่ได้รับการตอบรับที่ดี โดยกลุ่มผู้ซื้อจะเป็นกลุ่มที่ต้องการขยายครอบครัวให้ใหญ่ขึ้นซึ่งประกอบด้วยเจ้าของธุรกิจส่วนตัว หรือกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงกลุ่มคนไทยที่อยู่ต่างประเทศซื้อเก็บเพื่อใช้พักผ่อนในช่วงมาเมืองไทย ในขณะที่กลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติที่สนใจซื้อบ้านมากที่สุดคือกลุ่มคนจีนที่แต่งงานกันคนไทยหรืออาจจะซื้อผ่านตัวแทนและในนามนิติบุคคล โดยกลุ่มผู้ซื้อเหล่านี้ยังมีสภาพคล่องและรายได้สูงและส่วนใหญ่จะซื้อเป็นเงินสดประมาณร้อยละ 80