ธนาคารทิสโก้ชูกองทุนเปิด ทิสโก้ ไบโอเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ (TBIOTECH) และกองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ (TGHDIGI) สองกองทุนนวัตกรรมการแพทย์ ช่วยลูกค้าฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจถดถอย รับอานิสงส์ธุรกิจเฮลธ์แคร์กำไรโตเฉลี่ยกว่า 10% ในช่วง 30 ปี ชี้จุดเด่นกองทุน TBIOTECH ผู้จัดการกองทุนหลักมือเก๋าประสบการณ์ 21 ปี เข้าใจวัฏจักรหุ้นไบโอเทคอย่างลึกซึ้ง ขณะที่กองทุน TGHDIGI เน้นลงทุนหุ้นขนาดกลาง – เล็ก เพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนเด่น
นางวรสินี เศรษฐบุตร ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์กองทุน และสื่อสารการตลาด สายธุรกิจธนบดีธนาคารทิสโก้ เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะเป็นแรงกดดันหุ้นทั่วโลกตลอดปี 2565 ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า ธนาคารทิสโก้จึงแนะนำให้นักลงทุนโยกเงินจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ มาซื้อ “หุ้นกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์” ที่กำไรมีโอกาสเติบโตดีแม้ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งข้อมูลจากบลูมเบิร์กพบว่าในช่วง 30 ปีที่ผ่านมากำไรหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 10.2% ต่อปี เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไร แต่ความต้องการรักษาพยาบาลมักจะไม่ผันแปรไปตามเศรษฐกิจ
ในอนาคตหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ยังมีโอกาสเติบโตอีกมากตามเมกะเทรนด์สังคมสูงอายุที่เกิดขึ้นทั่วโลก และในระยะสั้นราคาหุ้นมีโอกาสดีดตัวแรงจากข่าวการเข้าซื้อกิจการ การอนุมัติยาใหม่จากองค์การอาหารและยาสหรัฐฯ (FDA) รวมทั้งข่าวการค้นพบยารักษาโรคอุบัติใหม่ที่กำลังเป็นที่ต้องการของสังคม
สำหรับกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ที่ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลูกค้าลงทุนในช่วงนี้มี 2 กองทุน คือ
1. กองทุนเปิด ทิสโก้ ไบโอเทคโนโลยี เฮลธ์แคร์ (TBIOTECH) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) กองทุนรวมตราสารทุนที่เน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Polar Capital Funds plc – Biotechnology ชนิดหน่วยลงทุน I US Dollar (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายลงทุนอย่างน้อย 51% ของมูลค่าทรัพย์สินในตราสารทุนของบริษัทที่ดำเนินธุรกิจเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) การวินิจฉัยโรค (Diagnostics) และเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต (Life Sciences Tools) ทั่วโลก กองทุนดังกล่าวบริหารและจัดการโดย Polar Capital LLP
2. กองทุนเปิด ทิสโก้ โกลบอล ดิจิตอล เฮลธ์ อิควิตี้ (TGHDIGI) ความเสี่ยงระดับ 7 (เสี่ยงสูง) กองทุนรวมหุ้นเน้นลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุน Credit Suisse (Lux) Digital Health Equity ชนิดหน่วยลงทุน MB USD (กองทุนหลัก) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนอย่างน้อย 2 ใน 3 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุนในตราสารทุน หลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับตราสารทุน และใบแสดงสิทธิต่างๆ ที่ออกโดยบริษัทที่ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีในการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการทางการแพทย์ (Digital Health) ทั่วโลก รวมถึงกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ กองทุนดังกล่าวบริหารและจัดการโดย Credit Suisse Fund Management S.A.
นางวรสินีกล่าวอีกว่า กองทุน TBIOTECH และTGHDIGI มีความเสี่ยงระดับ 7 เหมือนกัน แต่มีความแตกต่างกันในแง่ของนโยบายและสไตล์การลงทุน หากต้องการลงทุนในกองทุนที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงและสามารถรับความผันผวนสูงได้ แนะนำให้ลงทุนในกองทุน TGHDIGI กองทุนที่ผนวกธีมเมกะเทรนด์ในด้านเฮลธ์แคร์และเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน กองทุนหลักจะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและเล็กประมาณ 40-60 ตัว มีจุดเด่นตรงที่บริษัทขนาดกลางและเล็กมักจะมีการเติบโตของรายได้ในอัตราที่สูง ผู้จัดการกองทุนจะคัดเลือกหุ้นโดยดูปัจจัยพื้นฐานของบริษัทนั้นๆ และบริษัทนั้นต้องมีรายได้จากการใช้เทคโนโลยีในการดำเนินธุรกิจมากกว่า 50% ของรายได้รวม และเน้นลงทุนในบริษัทที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมดิจิตอลเฮลธ์แคร์ ธุรกิจที่ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ที่คนนิยมใช้ เช่น เครื่องวัดน้ำตาลในเลือด รวมถึงเน้นลงทุนในบริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล มีคู่แข่งน้อย เป็นต้น
สำหรับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนนวัตกรรมการแพทย์ที่มีโอกาสเติบโตดี แต่รับความผันผวนได้ไม่มากอาจเลือกลงทุนในกองทุน TBIOTECH ธุรกิจไบโอเทคที่ขับเคลื่อนด้วยการวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ ที่ไม่เคยถูกคิดค้นมาก่อน มีแนวโน้มการเติบโตของรายได้สูง มีโอกาสที่ราคาหุ้นจะขึ้นแรงหากได้รับการเข้าซื้อกิจการจากบริษัทขนาดใหญ่ ซึ่งผู้จัดการกองทุนหลักมีความเชี่ยวชาญในการคัดสรรหุ้นไบโอเทค จากประสบการณ์จัดการกองทุน 21 ปี และยังจบการศึกษาด้าน Human Science University of Oxford อีกด้วย ทำให้สามารถคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจได้อย่างแม่นยำ พร้อมปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างรวดเร็วสอดคล้องกับภาวะตลาด
นอกจากนี้ ระดับราคาหุ้นกลุ่มไบโอเทคยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ โดยดัชนี S&P500 Biotechnlogy Industry Index ซึ่งเป็นตัวแทนของกลุ่มธุรกิจไบโอเทคฯ เทรดที่อัตราราคาต่อกำไรต่อหุ้น (P/E) ประมาณ 11.22 เท่า(ข้อมูล ณ 28 มิ.ย.) ซึ่งหากเทียบอัตราส่วน P/E ระหว่างดัชนี S&P500 Biotechnology Industry และ S&P500 Healthcare จะพบว่าครั้งล่าสุดที่ราคาเคยปรับลดลงมาในระดับนี้ ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2541 ช่วงก่อนเกิดวิกฤตดอทคอม หรือประมาณ 20 ปีก่อน จึงจะมีโอกาสได้ซื้อหุ้นในระดับราคาแบบนี้
สำหรับตัวอย่างบริษัทที่กองทุนหลักของกองทุนTBIOTECH เข้าไปลงทุนข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 เช่น Genmab บริษัทเดนมาร์คก่อตั้งปี 1999 คิดค้นยารักษามะเร็งโดยใช้ภูมิคุ้มกัน-วิจัยยารักษาโรคมะเร็ง เช่น ปอด, ต่อมน้ำเหลือง, เม็ดเลือด ปัจจุบันมี 5 ยาที่ได้รับการอนุมัติแล้ว และ 20 ยาใหม่ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการทดลอง ตัวอย่างยาที่อนุมัติแล้ว เช่น Tivdak รักษามะเร็งปากมดลูก, DARZALEX รักษามะเร็งทางโลหิตวิทยา ซึ่งเกิดจากความผิดปกติพลาสมาเซลล์ Kesimpta รักษาโรคปลอกประสาทอักเสบ ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท รายได้ปี 2565 โต 42% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) กำไรโต 27% YoY
ส่วนตัวอย่างบริษัทที่กองทุนหลักของกองทุนTGHDIGI เข้าไปลงทุน ข้อมูล ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 เช่น Dexcom บริษัทผลิตเครื่องวัดน้ำตาลแบบเรียลไทม์ ได้รับอนุมัติขายผลิตภัณฑ์รุ่นแรกจาก FDA ตั้งแต่ปี 2561 ล่าสุดขยายธุรกิจไปนอกสหรัฐฯ หลังหลายประเทศในยุโรปอนุมัติให้ใช้แล้ว สำหรับรายได้ในปี 2565 คาดว่ารายได้จะเติบโต 19%YoY และกำไรน่าจะเติบโต 22% YoY และในอนาคตคาดว่าจะเติบโตอีกมากจากความต้องการของผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น โดยจากข้อมูลขององค์กรเบาหวานโลกคาดว่าในปี 2588 จะมีผู้ป่วยเบาหวานทั่วโลก 783 ล้านคน จากปี 2564 ที่มีผู้ป่วยทั่วโลก 537 ล้านคน
พิเศษเมื่อลูกค้าซื้อกองทุน TBIOTECH หรือTGHDIGI ผ่านธนาคารทิสโก้ ระหว่างวันที่ 1 – 31 กรกฎาคม 2565 โดยมียอดเงินลงทุนสะสมทุกๆ 1 ล้านบาท หลังหักค่าธรรมเนียมการขาย รับ Central Gift Card มูลค่า 1,000 บาท
และสำหรับลูกค้าที่ลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน TISCO My Wealth 250,000 บาทขึ้นไป รับ Central Gift Card มูลค่า 500 บาท
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจลงทุน ติดต่อสอบถามรายละเอียด หรือขอรับหนังสือชี้ชวนได้ที่ธนาคารทิสโก้ทุกสาขา หรือ TISCO Contact Center โทร. 02-633-6000 กด 2 กด 4