นายรักษ์ วรกิจโภคาพร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยถึงทิศทางการส่งออกของไทยในช่วงครึ่หลังของปี 2565 โดยประเมินว่า ภาคการส่งออกยังสามารถเดินหน้า ซึ่งในปีนี้ธนาคารคาดการณ์ว่าภาคการส่งออกจะมีอัตราการขยายตัวได้ที่ระดับ 6-7% สำหรับในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ภาคการส่งออกของไทยมีอัตราการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 12.9% ขณะที่ดัชนีชี้นำการส่งออกของไทย โดย Exim Index ณ ไตรมาส 2 อยู่ที่ 100.63 ลดลงจากไตรมาสแรกของปีนี้ซึ่งอยู่ที่ 100.90 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าในระยะข้างหน้า การส่งออกมีแนวโน้มชะลอตัวซึ่งเป็นผลมาจากเศษฐกิจคู่ค้าชะลอตัวลง
อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ธนาคารเล็งเห็นว่าผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจ ใน 2 มิติด้วยกัน คือ ประการแรก ต้องปรับตัวสู้ต้นทุนแพง ด้วยการยกระดับสินค้าและกระบวนการผลิต เพื่อเข้าสู่ตลาดที่แข่งขันด้วยสินค้าที่มีนวัตกรรมเพื่อตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค และประการที่สอง บริหารความเสี่ยง กระจายตลาดหรือการบุกตลาดใหม่ รวมถึงการเข้าสู่ตลาดออนไลน์มากขึ้น ซึ่งธนาคารคาดว่ามูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซโลก จะมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากในปี 2564 อยู่ที่ 4.9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ จะเพิ่มขึ้นเป็น 7.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2568
สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนของปี 2565 ที่ผ่านมา ธนาคารมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ 153,508 ล้านบาท เติบโตขึ้น 11.72% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สินเชื่อเพื่อการลงทุน 115,357 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.31% สินเชื่อที่อยู่สนับสนุนความยั่งยืน 43,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25.53% ปริมาณธุรกิจรับประกัน 100,554 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.07% ทางด้านวงเงินอนุมัติสินเชื่อใหม่ อยู่ที่ 34,551 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.52% วงเงินสินเชื่อใหม่ SMEs 8,408 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.42% สินเชื่อใน CLMV & New Frontiers 54,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.61% สินเชื่อในเวียดนาม 14,591 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.57% ปัจจุบันธนาคารมี NPL อยู่ที่ 2.91%
ทั้งนี้จากผลการดำเนินงานภายใต้การบริหารจัดการองค์กรอยางมีประสิทธิภาพทำให้ธนาคารมีสถานะทางการเงินที่มั่นคง ซึ่ง ณ สิ้นเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา ธนาคารมี มีอัตราส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวม 2.91% อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาสถานะทางการเงินที่มั่นคงและแข็งแกร่ง ธนาคารมีค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น จำนวน 12,281 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อ NPLs 274.67% สูงสุดในระบบ ส่งผลให้ในไตรมาส 2 ธนาคารมีกำไรก่อนสำรอง 1,217 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.55% และกำไรสุทธิเท่ากับ 604 ล้านบาท อย่างไรก็ตามในปีนี้ ธนาคารคาดว่าจะมียอดสินเชื่อคงค้างอยู่ที่ระดับ 160,000-165,000 ล้านบาท