WICE เผยผลประกอบการงวด 9เดือนปี 2565 นิวไฮต่อเนื่อง รายได้รวม5,851 ล้านบาท กำไรสุทธิ 458 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 29% คาดแนวโน้มธุรกิจ Q4/2565เติบโตตามแผน มุ่งเน้นขยายงานบริการขนส่งร่วมกับบริษัทในเครือ ควบคู่การบริหารต้นทุนขนส่ง รักษาความสามารถการทำกำไรในระดับดีต่อเนื่อง
นายชูเดช คงสุนทร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ระหว่างประเทศแบบครบวงจร เปิดเผยถึง ผลประกอบการงวด 9 เดือน ปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 5,851 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม5,279 ล้านบาท จำนวน 572 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 10.83 % และ มีกำไรสุทธิ 458ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 355 ล้านบาท จำนวน 103 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 29%
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 3/2565 บริษัทมีรายได้รวม 1,610 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม2,284.73 ล้านบาท จำนวน 675 ล้านบาท หรือ ลดลง 29.5% และ มีกำไรสุทธิ 130 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 162 ล้านบาท จำนวน 32 ล้านบาท หรือลดลง 20%
ทั้งนี้ ผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรของบริษัทงวด 9 เดือน ปี 2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีสำหรับบริการขนส่งสินค้าในประเทศกลุ่มลูกค้าหลัก อาทิ สหรัฐอเมริกา จีน และ กลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมการให้บริการขนส่งทางทะเล (Sea Freight) การขนส่งทางอากาศ (Air Freight) และ การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (Cross Border Service) อีกทั้งบริการด้านซัพพลายเชนโซลูชั่นส์ และ การขยายคลังสินค้าสามารถดำเนินการและรับรู้รายได้ตามแผนงาน
ด้านผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรในช่วงไตรมาส 3/2565 ปรับตัวลดลงสาเหตุจากค่าระวางเรือและปริมาณขนส่งทางเรือที่ชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงสามารถรักษาอัตราการทำกำไรให้อยู่ในเป้าหมายที่ตั้งไว้
“แม้ในช่วงที่ผ่านมาสถานการณ์ค่าระวางเรือจะปรับลดลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นไปตามภาพรวมอุตสาหกรรมที่บริษัทคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 9 เดือน ปี 2565 ยังอยู่ในระดับที่ดีทั้งรายได้และกำไร อีกทั้งยังรักษาอัตราการทำกำไรในระดับดีที่ 7.8% ซึ่งสามารถสะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินงานที่บริษัทได้เตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ นอกจากนี้ บริษัทมีความมั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลประกอบการนิวไฮต่อเนื่องเป็นปีที่ 3ได้อย่างแน่นอน” นายชูเดชกล่าว
สำหรับทิศทางการดำเนินงานช่วงไตรมาส 4/65 บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การทำงานร่วมมือระหว่างบริษัทในเครือทั้ง 9แห่ง เพิ่มบริการให้มีความครอบคลุมทุกเส้นทางการขนส่ง อีกทั้งติดตามสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมขนส่งและโลจิสติกส์อย่างใกล้ชิด อาทิ มาตรการล็อกดาวน์ในประเทศจีนที่ส่งผลต่อการขนส่งสินค้าผ่านด่านชายแดน ค่าระวางเรือ และ การผันผวนของราคาน้ำมัน พร้อมดำเนินงานตามแผน เพื่อรักษาความสามารถในการทำกำไรของบริษัทให้อยู่ในระดับดีต่อเนื่อง คาดว่าสถานการณ์ดังกล่าวจะมีแนวโน้มคลี่คลายในปี 2566