มร.มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายตัวแทนนายหน้าพื้นที่อุตสาหกรรม (OSS) กล่าวว่า “ปี 2565 ตัวชี้วัดตลาดชี้ให้เห็นว่าตลาดเป็นของฝั่งผู้เช่า หนึ่งในการค้นพบที่น่าสนใจเกิดขึ้นเมื่อเราศึกษาและเปรียบเทียบความเคลื่อนไหวด้านค่าเช่าและการเช่าครองพื้นที่ในหลายๆ เขตทั่วเมืองกรุงเทพ เราพบว่าพื้นที่ที่มีการเช่าครองลดลงมากที่สุดนั้นสัมพันธ์กับการปรับตัวขึ้นของราคาเช่าที่สูงที่สุด
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อต้องเผชิญกับราคาค่าเช่าที่ปรับสูงขึ้น ผู้เช่าเลือกที่จะย้ายที่ตั้งสำนักงาน แม้ว่าในอดีตสิ่งนี้แทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย เพราะหนึ่งในหลายปัจจัยหลักก็คือ ค่าใช้จ่ายในการตกแต่งสำนักงานแห่งใหม่ อย่างไรก็ตาม บริษัทที่นำเอารูปแบบการทำงานแบบไฮบริดมาประยุกต์ใช้นั้น มักต้องการพื้นที่น้อย และค่าเช่าพื้นที่ที่ลดลงนั้นสามารถชดเชยค่าใช้จ่ายในการย้ายไปยังสำนักงานที่มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ เรายังพบอีกว่าในขณะที่อัตราการครอบครองปรับลดลงทั่วทั้งตลาด แต่อาคารสีเขียวหรือ Green Building (เช่น อาคาร LEED, TREES หรือมาตราฐานอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน) พบว่าเป็นภาคส่วนตลาดที่มีความคล่องตัวสูงที่สุด โดยมีอัตราการครอบครองพื้นที่ลดลงเพียง 4.1% ในปีที่ผ่านมา หากเทียบกับการลดลง 6.2% ในอาคารเกรด B และ 4.6% ในอาคารเกรด A ในช่วงเวลาเดียวกัน”
ภาพรวมเศรษฐกิจ
ผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ในประเทศไทยประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ขยายตัวขึ้น 2.2% ปีต่อปี โดยไตรมาสนี้นับเป็นไตรมาสที่สองติดต่อกันของการเติบโตทางจีดีพีเชิงบวก ปัจจัยขับเคลื่อนส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชน รองลงมาคือการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวขึ้นในช่วงระหว่าง 2.5%-3.5% ในปี 2565 ซึ่งปรับตัวดีขึ้นจาก 1.6% ในปี 2564 แต่ยังคงต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ในช่วงก่อนเล็กน้อย หากมองในแง่ดี ความต้องการและการท่องเที่ยวจากภายในประเทศมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัว และผลกระทบจากการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอนที่มีต่อเศรษฐกิจ
คาดว่าจะค่อยๆ ลดลงไปในช่วงเวลาที่เหลือของปี อย่างไรก็ตาม สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่ได้ข้อสรุป บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลกยังคงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
อัตราเงินเฟ้อคาดว่าจะสูงขึ้นไปแตะที่ระดับ 4.9% ในปี 2565 ซึ่งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ในครั้งก่อนที่ 1.2% ณ สิ้นปี 2564 การที่ราคาปรับเพิ่มขึ้นครั้งนี้ ส่วนใหญ่แล้วเป็นผลพวงจากวิกฤตอุปทานทั่วโลกเชิงลบจากการคว่ำบาตรรัสเซีย โดยรัสเซียเป็นซัพพลายเออร์ด้านพลังงาน, สินค้าโภคภัณฑ์, และวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยมองว่าอัตราเงินเฟ้อล่าสุดเป็นปัจจัยผลักดันต้นทุนมากกว่าปัจจัยดึงดันอุปสงค์ที่กล่าวไว้ในการประชุมเมื่อปลายเดือนมีนาคม ทั้งนี้ส่งผลให้มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงมาเกือบ 2 ปี แสดงให้เห็นถึงการเน้นย้ำในการสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (BSI) ในเดือนมีนาคมปรับเพิ่มขึ้นที่ 50.7 โดยแตะเกณฑ์ระดับ 50 เนื่องจากความเชื่อมั่นโดยรวมที่ปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวหลังการเกิดโรคระบาดและการผ่อนคลายมาตรการกักกัน โดยเน้นไปที่การลดระยะเวลาที่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่กักกันตามกำหนดระหว่างรอผลทดสอบ RT-PCR, การลดความคุ้มครองด้านการประกันสุขภาพ และการใช้ ATK แทนการทดสอบ RT-PCR ครั้งที่สอง อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างรัสเซียและยูเครนได้ผลักดันราคาวัตถุดิบให้เพิ่มขึ้น และทำให้ความเชื่อมั่นลดลงเหลือเพียง 24.5 (ค่าเฉลี่ยจากช่วงห้าปีล่าสุดอยู่ที่ 40.1) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบ 14 ปีที่ผ่านมา
ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่คาดการณ์ไว้ในช่วงสามเดือนลดลงอย่างมากถึง 4.6% จุด ลงมาที่ 50.9 โดยเกิดจากดัชนีย่อยต้นทุนที่ต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ ดัชนีย่อยทางธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงอยู่เหนือเกณฑ์ระดับ 50 ยกเว้นในภาคส่วนการผลิตและอสังหาฯ ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากอัตราเงินเฟ้อที่ผลักดันต้นทุน
อุปทานในปัจจุบัน

เนื่องจากไม่มีพื้นที่สำนักงานใหม่เพิ่มเข้ามาในตลาดในไตรมาสนี้ ส่งผลให้อุปทานพื้นที่สำนักงานรวมอยู่ที่ 5.66 ล้านตร.ม. อย่างไรก็ตาม การเติบโตของอุปทานยังคงตัวอยู่ที่ 4.7% ปีต่อปี เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยที่ 2% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา โดยจากปริมาณอุปทานทั้งหมด พื้นที่ให้เช่าสุทธิของอาคารสีเขียวมีจำนวนรวมอยู่ที่ 905,000 ตร.ม. เพิ่มขึ้น 8.4% ปีต่อปี ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 13.4% ต่อปี

อุปทานในอนาคต

จากการวิจัยของไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เราคาดว่าอุปทานในอนาคตจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากการประมาณการครั้งก่อน โดยนับตั้งแต่ปี 2565 2567 อุปทานใหม่ในช่วงท้ายปีในแต่ละปีคาดว่าจะอยู่ที่ 440,000, 410,000 และ 280,000 ตร.ม. ตามลำดับ ทั้งนี้ปริมาณรวมของพื้นที่ให้เช่าในอนาคตอยู่ระหว่างการพัฒนา มีพื้นที่รวมประมาณ 1.80 ล้านตร.ม. คิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของอุปทานในปัจจุบัน โดยมากกว่า 60% ตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD)

ความเคลื่อนไหวของตลาด โดยแบ่งตามกลุ่มอาคาร

อาคารเกรด C มีอัตราการครอบครองลดลงน้อยที่สุด ในขณะที่อาคารสีเขียว อยู่อันดับสองในช่วงภาวะตลาดขาลงปริมาณพื้นที่ให้เช่าทั้งหมดลดลงจาก 4.62 ล้านตร.. ในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 เป็น 4.53 ล้านตร.. ในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 ส่งผลให้อัตราการครอบครองในตลาดลดลงเหลือ 80.1% โดยลดลงไป1.6% ไตรมาสต่อไตรมาส และ 4.5% ปีต่อปี โดยอาคารทุกเกรดมีอัตราการครอบครองลดลง อาคารเกรด C กลายเป็นกลุ่มที่มีอัตราการครอบครองดีที่สุด ซึ่งลดลงเพียง 1.4% ไตรมาสต่อไตรมาส และ 0.7% ปีต่อปี

ในขณะที่อาคารเกรด A เป็นกลุ่มที่ลดลงมากที่สุดในไตรมาสนี้ โดยลดลงมากกว่า 3% ไตรมาสต่อไตรมาส สำหรับรายปี อาคารเกรด Aและเกรด B ปรับลดลงมากที่สุดโดยมีอัตราการครอบครองลดลงมากกว่า 6% ปีต่อปี กลุ่มอาคารนี้มีแนวโน้มที่จะประสบกับความผันผวนมากขึ้นในช่วงที่ตลาดตกต่ำมาเป็นเวลานาน เนื่องจากต้นทุนการเช่าคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1 ใน 5 ของรายได้ทั้งหมด และหลายๆ ธุรกิจต่างก็ใช้ความระมัดระวังในการตัดสินใจด้านอสังหามากขึ้น

ในทางตรงกันข้าม อาคารสีเขียวมีอัตราการครอบครองครองลดลงไป 1.2% ไตรมาสต่อไตรมาส และ 4.1% ปีต่อปี ซึ่งต่ำกว่าอาคารเกรด A, Aและ B ที่ไม่มีใบรับรองมาตราฐานการประหยัดพลังงานอาคารเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตามอาคารสีเขียวที่เน้นความยั่งยืนเหล่านี้ยังคงมีอัตราการครอบครองที่สูงที่สุดในตลาดอยู่ที่ 86%

Related Articles

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *