นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก 2565 ของบริษัทฯ สามารถทำผลงานได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ทั้งยอดขาย รายได้ และยอดโอนกรรมสิทธิ์ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่โครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมที่กระจายไปในหลายทำเลมีการเติบโตดีมากเนื่องจากลูกค้าได้เห็นสินค้าจริง ในราคาที่จับต้องได้ ถือว่าส่งผลดีต่อยอดโอนกรรมสิทธิ์ของบริษัทฯ รวมทั้งบริษัทฯ ยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ในมืออีก 23,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมกว่า15,800 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 7,400 ล้านบาทซึ่งคาดว่าจะเข้ามารองรับการเติบโตของยอดขายในครึ่งปีหลัง สัญญาณบวกจากการฟื้นตัวของยอดผู้เข้าชมโครงการอย่างต่อเนื่อง
รวมทั้งแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในกลุ่มสินค้าแนวราบและคอนโดมิเนียมเป็นไปตามแผนที่ตั้งไว้ โดยมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ พร้อมแบบบ้านใหม่ ฟังก์ชันใหม่ กับโครงการแนวราบอย่างศุภาลัย ทัสคานี ดอนแก้ว – แม่ริม โครงการ สุดหรูสไตล์อิตาลี ท่ามกลางขุนเขา หนึ่งในทำเลที่ดีที่สุดของอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ และโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ลอฟท์ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบสไตล์ลอฟท์ 2 โครงการ คือ ศุภาลัย ลอฟท์ สถานีภาษีเจริญ และ ศุภาลัย ลอฟท์ รัชดาฯ – วงศ์สว่าง ซึ่งได้รับความสนใจเป็นอย่างมากจากลูกค้าส่งผลให้บริษัทฯ ทำผลงานได้เกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2565 มีการเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว ทั้งหมด 13 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ซึ่งเป็นโครงการแนวราบ 11โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 20,710 ล้านบาท ทำให้ผลการดำเนินงานในช่วง 6 เดือนแรก บริษัทฯ ยังคงรักษาการเติบโตที่ยอดเยี่ยมในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย ยอดขายรวม อยู่ที่ 18,216 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 อยู่ที่ 13,005 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 6% อยู่ที่ 9,364 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 8,852 ล้านบาท
โดยมาจากการตอบรับที่ดีของลูกค้าในทุกทำเลโครงการที่มีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมอยู่ รวมถึงโครงการที่เปิดตัวใหม่ ซึ่งแบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายคอนโดมิเนียมที่เปิดใหม่และสร้างเสร็จพร้อมอยู่ 5,730 ล้านบาท คิดเป็น 96% และยอดขายสินค้าแนวราบในกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม12,486 ล้านบาท คิดเป็น 24% และคิดเป็น 65%จากเป้าหมายยอดขายที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทฯ มีโอกาสที่ทำยอดขาย ในปี 2565 ได้สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
อีกทั้งบริษัทฯ ยังกวาดรายได้ – กำไรพุ่งต่อเนื่องหลังจากทําสถิติรายได้และกำไรสูงสุดไปแล้วในปี 2564 โดยมี รายได้รวม 14,092 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% โดยแบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด13,508 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% จากปี 2564 แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านและทาวน์โฮม55% และคอนโดมิเนียม 45% และด้านกำไรสุทธิ 3,253 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564
ส่งผลให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 59% และมีการบริหารจัดการกระแสเงินสด โดยมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 27,962 ล้านบาท ณ 30 มิถุนายน 2565 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ใน ปี 2565 จำนวน 13,695 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีโครงการคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จส่งมอบโครงการให้ลูกค้ารวมทั้งสิ้น 6 โครงการ รวมมูลค่า 15,820 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลสำหรับผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 23 ส.ค. 65 และจ่ายปันผล วันที่ 7 ก.ย. 65
อย่างไรก็ดี บริษัทฯ มั่นใจครึ่งปีหลัง 2565 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องความต้องการสินค้าระดับกลางและบนยังไปได้ดีในสินค้าแนวราบเป็นที่น่าจับตามอง คอนโดมิเนียมต้องเจาะลึกเป็นรายเซกเมนต์ เตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง รวม 21 โครงการ มูลค่ารวม 19,290 ล้านบาท สะท้อนจากยอดขายสินค้าแนวราบที่แข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีแรก จึงมีแผนโฟกัสเปิดตัวโครงการแนวราบ 20 โครงการ
และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ โดยมีการออกแบบผลิตภัณฑ์และเปิดตัวแบรนด์ใหม่ การพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการให้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมลุยเปิดตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดใหม่ๆ ในทำเลศักยภาพ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค สำหรับโครงการแนวราบเปิดเพิ่ม 2 จังหวัด คือ ฉะเชิงเทรา นครสวรรค์ และคอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่อีกด้วย
ถึงแม้ปี 2565 จะเป็นปีที่ท้าทายของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ มั่นใจสามารถรับมือกับความผันผวนของสถานการณ์ได้ และสามารถปรับแผนกลยุทธ์ที่รวดเร็ว ด้วยสถานะทางการเงินแข็งแกร่ง พร้อมส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมทั้งขับเคลื่อนการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืนต่อไป