นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTAM) เปิดเผยว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้แข็งแกร่ง ประกอบกับมีหลักการบริหารที่รับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม สังคม รวมถึงธรรมาภิบาล (ESG) จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้ประเทศมีการเติบโตได้อย่างมีศักยภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทต่าง ๆ หรือนักลงทุนเองต่างก็มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจหรือองค์กรที่ให้ความสำคัญกับ ESG มากขึ้น บริษัทฯ จึงได้เปิดเสนอขาย กองทุนเปิดกรุงไทย ตราสารภาครัฐ ESG (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTESGSI-ThaiESG) โดยเสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 7 – 16 ตุลาคม 2567 นี้
ทั้งนี้ กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน หรือ ThaiESG ได้มีการปรับเกณฑ์การลงทุนตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2567 เฉพาะหน่วยลงทุนที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 เพื่อส่งเสริมให้มีการออมผ่านกองทุนชนิดนี้เพิ่มขึ้น โดยขยายวงเงินลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 30% ของรายได้ และสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท (ไม่นับรวมกับวงเงิน 5 แสนบาท ของการออมเพื่อเกษียณอื่น ๆ ได้แก่ RMF SSF PVD กองทุนสงเคราะห์ครู กบข. ประกันบำนาญ และ กอช.) นอกจากนี้ ยังลดระยะเวลาการถือครองเหลือเพียง 5 ปี นับแบบวันชนวัน
KTESGSI-ThaiESG (ความเสี่ยงระดับ 3) เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินต้นแต่ไม่รวมถึงหุ้นกู้แปลงสภาพ ซึ่งเป็นพันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (green bond) พันธบัตรหรือหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (Sustainability bond) หรือพันธบัตรหรือหุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (sustainability – linked bond) โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV โดยกองทุนนี้เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล รวมถึงพันธบัตรหรือหุ้นกู้ที่กระทรวงการคลังค้ำประกันที่เกี่ยวข้องกับ ESG และยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างต่ำ
“สำหรับการลงทุนในกลุ่ม ESG มีแนวโน้มที่จะเติบโตได้ต่อเนื่องจาก Fund Flow ที่มีแนวโน้มจะไหลเข้ามามากขึ้น และจากความได้เปรียบในการทำธุรกิจที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากภาครัฐและความร่วมมือกันในระดับโลก รวมถึงมีแนวโน้มที่จะตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ได้ดี อีกทั้งตลาดยังมีแนวโน้มให้ premium มากขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านผลตอบแทนที่ดีขึ้น และที่สำคัญกว่านั้น การลงทุนในกลุ่ม ESG ยังช่วยบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย” นางชวินดา กล่าว
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีกลุ่มกองทุน KRUNGTHAI Thailand ESG Fund ตามที่ได้เปิดเสนอขายไปแล้วเมื่อปี 2566 ให้เลือกลงทุนถึง 3 กองทุน ประกอบด้วย 1) กองทุนเปิดกรุงไทย ESG A Grade 70/30 (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTAG70/30-ThaiESG) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 5) เน้นการลงทุนในหุ้นที่มี SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 70% และตราสารหนี้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและตราสารหนี้กลุ่มความยั่งยืนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่เกิน 30% ของ NAV เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนผสม และยอมรับความเสี่ยงได้ปานกลางค่อนข้างสูง
2) กองทุนเปิดกรุงไทย ESG50 (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTESG50-ThaiESG) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ประมาณ 50 ตัวแรกที่อยู่ในดัชนี SET ESG Index และอยู่ใน Universe ของ KTAM ซึ่งผ่านการวิเคราะห์ด้าน ESG ของ KTAM ควบคู่กัน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV จึงทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีการติตตามทั้งด้านผลการดำเนินงาน และ ESG ของบริษัทจดทะเบียนที่ได้เข้าไปลงทุนอยู่สม่ำเสมอ เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนหุ้น และยอมรับความเสี่ยงได้สูง
และ 3) กองทุนเปิดกรุงไทย ESG A Grade (ชนิดไทยเพื่อความยั่งยืน) (KTAG-ThaiESG) (ความเสี่ยงกองทุนระดับ 6) เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ กลาง เล็ก ที่มี SET ESG Ratings ระดับ A ขึ้นไป หรือได้รับการจัดอันดับในระดับที่สามารถเทียบเคียงได้กับระดับ A ขึ้นไป จากองค์กรหรือสถาบันอื่นที่สำนักงาน ก.ล.ต. ยอมรับว่ามีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือด้านความยั่งยืน โดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV กองทุนจะเน้นการบริหารแบบเชิงรุก โดยใช้กลยุทธ์การจัดพอร์ตการลงทุนแบบ Core & Satellite ด้วยการวางสัดส่วนการลงทุนตามสภาวะตลาดตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจในส่วนหลัก พร้อมกับจับจังหวะการลงทุนตามมุมมองระยะสั้นถึงกลางเป็นส่วนเสริม เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนจากการเลือกหุ้นรายตัวโดยผู้จัดการกองทุน เหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในกองทุนหุ้น และยอมรับความเสี่ยงได้สูง จากการลงทุนในหุ้นไทยกลุ่ม ESG และผู้ที่ต้องการลงทุนในกองทุนที่บริหารแบบ Active Management เพื่อมุ่งหวังผลตอบแทนสูงกว่าดัชนีอ้างอิง